ตอนที่ 3 หลงเสน่ห์เข้าโดยไม่รู้ตัว
อันเสวี่ยถังอ่อนเพลียจริงๆ หลังจากหลับตาลง ไม่นานนางก็หลับสนิท
ถึงจะน่าแปลก แต่นางมักจะเป็นคนตื่นง่ายและเมื่อมีคนอยู่ใกล้ๆ ตัวก็จะนอนไม่หลับ แต่แปลกที่คราวนี้นางกลับหลับสนิท
เมื่อนางตื่นขึ้นมา ตะวันก็เกือบตกดินแล้ว นางหลับไปถึงสามชั่วยามเต็มๆ1
ทันทีที่อันเสวี่ยถังขยับตัว โม่อวิ๋นจิ่งก็วางตำราในมือลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มพร่า "ตื่นแล้วหรือ?"
อันเสวี่ยถังสะดุ้งตกใจ จากนั้นก็ตระหนักถึงสถานการณ์ของตนเองขึ้นมาได้
นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาที่ชวนให้ทั้งคนและเทพต่างแค้นใจ มิทราบว่าเพราะเหตุใด นางถึงรู้สึกว่าการโดนส่งตัวมายังสถานที่ยากจนข้นแค้นก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างดี เพราะอย่างน้อยนางก็ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเช่นนี้
"เอ่อ ท่าน..." อันเสวี่ยถังเริ่มเอ่ยขึ้นมาก่อน แต่หลังจากนึกอยู่นาน นางก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอันใด
นางลุกขึ้นนั่ง หลังจากได้นอนพัก ร่างกายของนางก็ฟื้นตัวเกือบเต็มที่แล้ว
"หิวหรือไม่? อวิ๋นลิ่วกำลังทำอาหารมื้อเย็นอยู่"
โม่อวิ๋นจิ่งเอ่ยเสียงเบา เมื่ออันเสวี่ยถังพินิจดู สีหน้าของเขายังคงซีดขาว ถึงแม้ว่าดวงตาล้ำลึกจะแลดูเฉยเมยเย็นชา แต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดยิ่งนัก อันเสวี่ยถังรู้สึกราวกับถูกเขาดึงดูดอยู่ตลอดเวลา
"มีอันใดติดหน้าข้าอยู่หรือ?"
"เอ่อ... หะ หามีอันใดไม่" อันเสวี่ยถังก้มหน้างุด ให้ตายเถอะ เมื่อสักครู่นี้นางหลงเสน่ห์โดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
นางลุกขึ้นจากเตียงด้วยความรู้สึกละอายใจ พลางรีบสวมรองเท้าแล้ววิ่งออกไป "ข้าจะไปดูที่ครัวเอง"
สายตาของโม่อวิ๋นจิ่งที่ตามติดเงาร่างของนางเต็มไปด้วยแววกังขา สตรีผู้นี้ดูเหมือน... จะไม่ธรรมดาสามัญเอาเสียเลย
…
อันเสวี่ยถังวิ่งออกมาจากเรือนแล้วลูบอก จริงๆ เลย ในเมื่อไม่มีอันใดผิดปกติ ไฉนหัวใจดวงนี้ถึงได้เต้นเร็วเพียงนั้นเล่า?
อวิ๋นลิ่วกำลังจัดการกับไก่ป่าอยู่ในลานเรือน เมื่อเขาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เงยหน้ามองพลางกล่าวว่า "พี่สะใภ้ เจ้าตื่นแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะย่างไก่ป่าให้เจ้ากิน เจ้าช่วยไปซื้ออาหารที่หมู่บ้านได้หรือไม่?"
ไม่ว่าสถานะของสตรีผู้นี้จะไม่คู่ควรกับนายท่านของเขาสักเพียงใด อย่างน้อยตอนนี้นางก็เป็นภรรยาแต่เพียงในนามของนายท่านแล้ว ดังนั้นการที่เขาเรียกนางว่าพี่สะใภ้ก็นับว่าเหมาะสมแล้ว
อันเสวี่ยถังเลิกคิ้ว "ยังต้องซื้ออาหารอยู่อีกหรือ?" เขากำลังทำอาหารอยู่มิใช่หรือ?
อวิ๋นลิ่วมีสีหน้ากระอักกระอ่วน "อืม... ข้าทำอาหารไม่เป็น ข้าจึงได้แต่ย่างไก่ป่าเท่านั้นแล้ว"
"ข้าจะทำเอง" อันเสวี่ยถังถลกแขนเสื้อขึ้น บอกตามตรงว่านางไม่อยากจะกินหมั่นโถวแข็งๆ แล้วจริงๆ
ต่อให้นางไปซื้ออาหารที่หมู่บ้าน นางก็คงไม่ได้อันใดนอกเสียจากหมั่นโถว
ก่อนที่อันเสวี่ยถังจะหันหลังกลับเข้าไปในครัว จู่ๆ ก็หันกลับมา "หลังจากเจ้าจัดการกับไก่ป่าเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งเอาไปย่างเล่า เอามันเข้ามาในครัวแล้วข้าจะจัดการให้เอง"
"ได้สิ"
อวิ๋นลิ่วครุ่นคิด อย่างไรเสียอันเสวี่ยถังก็เป็นหญิงชาวบ้าน การทำอาหารคงจะมิใช่ปัญหาสำหรับนางหรอก ดูเหมือนว่านางก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว
อันเสวี่ยถังเข้ามาในครัวแล้วเริ่มเลือกส่วนผสม มีแป้งถุงเล็ก ข้าวขาวถุงเล็ก เกลือหยาบชามใหญ่และเกลือละเอียดปริมาณเล็กน้อย
นอกเหนือไปจากนั้น ก็ไม่มีเครื่องปรุงรสอันใดแล้ว!
แม้แต่น้ำมันก็ไม่มี นางควรจะทำเช่นไรดี?
โชคดีที่ยังมีหม้อกับกะทะอยู่
ในยุคโบราณ ไม่มีทั้งเตาแก๊สหรือไฟฟ้า อันเสวี่ยถังจ้องมองมาที่เตาไฟอยู่นานแล้วถอนหายใจแรงๆ แล้วเริ่มขยับตัว
โชคดีที่นางยังรู้วิธีก่อไฟ
อันเสวี่ยถังซาวข้าวแล้วเริ่มนึ่งข้าวขาว
อวิ๋นลิ่วขยับตัวว่องไวยิ่งนัก ใช้เวลาไม่นานเขาก็เอาไก่ป่าที่เตรียมไว้แล้วเข้ามา "พี่สะใภ้ เจ้าทำอาหารเป็นจริงๆ ใช่ไหม? ให้ข้าย่างเสียเลยเป็นอย่างไร?"
อันเสวี่ยถังยิ้มพลางกล่าวว่า "อย่าห่วงไปเลย คืนนี้เจ้าย่อมมีของให้กินอย่างแน่นอน"
อวิ๋นลิ่วมิได้กล่าวอันใดอีก เขาหย่อนไก่ป่าลงไปในหม้อแล้วอันเสวี่ยถังก็บอกให้เขาออกไปก่อน นางไม่คุ้นเคยกับการมีคนอยู่ใกล้ๆ ระหว่างที่กำลังทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็คงช่วยอันใดได้ไม่มากนักหรอก
อันเสวี่ยถังหยิบไก่ป่าขึ้นมาดู มันค่อนข้างตัวอวบอ้วนทีเดียว พอนึกว่าที่เรือนไม่มีน้ำมันเลย นางก็หยิบมีดทำครัวขึ้นมาเฉือนส่วนที่อุดมไปด้วยน้ำมันของไก่ป่าอย่างว่องไว
ทันใดนั้นนางก็ใส่เกลือหยิบมือหนึ่งลงไปในท้องไก่ป่า หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ นางก็ออกจากครัวแล้วเดินวนรอบเรือนไม้ แน่นอนว่านางพบต้นหอมป่าไม่กี่ต้นกับขิงไม่กี่แง่ง ในขณะเดียวกัน นางก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ผักจี้ไช่3ชิ้นเล็กๆ เสียด้วยซ้ำไป
นางเด็ดต้นหอมป่ามาสองสามต้น ขิงแง่งหนึ่งและผักจี้ไช่กำมือหนึ่ง หลังจากกลับมาแล้ว นางก็ล้างต้นหอมป่ากับขิง จากนั้นก็หั่นพวกมันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วยัดเข้าไปในท้องไก่ป่า
หลังจากน้ำเดือดแล้ว อันเสวี่ยถังก็หย่อนไก่ป่าลงไปในหม้อแล้วปรุงอาหาร
จากนั้นนางก็ล้างผักจี้ไช่ หลังจากไก่ป่าสุกแล้ว นางก็เริ่มเอาน้ำมันจากไก่ป่ามาทอดผักจี้ไช่... อันเสวี่ยถังยอมรับว่านี่เป็นการลงมือทำครั้งแรกของตน แต่กลับรสชาติดีจนอย่างประหลาด
…
ในยามนี้เอง ภายในห้องของโม่อวิ๋นจิ่ง โม่อวิ๋นจิ่งสีหน้าเคร่งขรึมและสายตาคมกริบ อวิ๋นลิ่วประสานมือพลางกล่าวกับโม่อวิ๋นจิ่งด้วยท่าทางที่แทบจะขอร้องวิงวอนอยู่แล้วว่า "นายท่านขอรับ ท่านต้องมีบุตรนะ!"
โม่อวิ๋นจิ่งสีหน้าเฉยชา "ข้าเป็นแค่คนที่ใกล้จะตาย ไยต้องลากผู้อื่นเข้ามาพัวพันด้วยเล่า?"
อวิ๋นลิ่วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจว่า "นายท่าน ตะ... ต่อให้จะเกิดเรื่องขึ้นกับท่าน บ่าวก็ยังต้องการนายน้อยอยู่นะขอรับ ขอนายท่านได้โปรดไตร่ตรองด้วย"
"ข้าต้องพิษ เจ้าจะรับรองได้อย่างไรว่าจะมิส่งผลต่อบุตรของข้า?"
อวิ๋นลิ่วผงะอึ้งแล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นอันมาก เขาไม่เคยนึกถึงปัญหาข้อนี้มาก่อนเลย
เขารู้แต่พียงว่านายท่านของตนจะต้องมีบุตร มิฉะนั้นวันข้างหน้าพวกเขาจะทำเช่นใดเล่า? ชั่วชีวิตนี้ของพวกเขาจะภักดีต่อนายท่านกับนายน้อยในอนาคตของตนเท่านั้น
สาเหตุที่ทำให้เขาเลือกอันเสวี่ยถังหลักๆ ก็เป็นเพราะนางหน้าตางดงาม เขาได้ยินมาว่าบิดาของนางเคยเป็นซิ่วไฉ2 ถึงแม้ว่าสตรีเช่นนั้นจะไม่คู่ควรพอที่จะให้กำเนิดบุตรให้นายท่านก็เถอะ แต่อย่างน้อยนางก็ดีกว่าหญิงชาวบ้านคนอื่นๆ
ยามนี้เขาหาผู้ใดที่เหมาะสมยิ่งกว่าอันเสวี่ยถังมิได้อีกแล้ว
พิษที่แพร่เข้าสู่อวัยวะภายในของนายท่าน เขาลองมาหลายวิธีแล้วแต่ก็รักษาอีกฝ่ายไม่ได้ ดังนั้น... เขาจึงคิดจะนายท่านมีทายาทให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
"แต่ นายท่าน..."
"เลิกคิดที่จะเกลี้ยกล่อมข้าสักทีเถอะ ข้าตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้เจ้าก็ส่งนางออกไปเสีย คำพูดเรื่องหย่าภรรยาเมื่อก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นเท็จ อย่าทำให้นางต้องลำบากใจ ถ้านางต้องการความช่วยเหลือ เจ้าก็ช่วยนางเท่าที่จะพอทำได้ อย่างไรเสียนางก็เป็นภรรยาของข้ามาหนึ่งวันแล้ว”
อวิ๋นลิ่วคุกเข่าลงด้วยท่าทีร้อนใจพลางประสานมือแล้วกล่าวว่า "นายท่าน บ่าวผู้นี้ใช้เงินเก็บทั้งหมดเพื่อซื้อนางกลับมาให้ท่าน ขอนายท่านได้โปรดเข้าหอและมีบุตรกับนางด้วยขอรับ"
อวิ๋นลิ่วครุ่นคิด ต่อให้นายน้อยที่ถือกำเนิดขึ้นมาจะพิการก็หาเป็นอันใดไม่ อย่างน้อยนายท่านของตนก็มีทายาทมิใช่หรือ?
เขามิอาจทนดูนายท่านจากไปโดยไม่ทำอันใดเลย
"อวิ๋นลิ่ว ข้าตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ข้าเข้าหอกับนาง ข้าจะรับรองได้อย่างไรว่าตนเองจะทำให้นางตั้งครรภ์ได้แน่? ถ้าหากนางไม่ตั้งครรภ์ มิเท่ากับทำลายชีวิตสตรีผู้หนึ่งหรอกหรือ?"
โม่อวิ๋นจิ่งเด็ดเดี่ยวมาชั่วชีวิตและมิใช่คนใจอ่อน ทว่าเมื่อเขาได้ยินแม่นางน้อยค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาว่านางหิว เขาก็รู้สึกเสียใจแทนนางอย่างบอกไม่ถูกและไม่อยากจะทำร้ายนางเลย
เขารู้สภาพร่างกายของตนเองดี ในเมื่อเชามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ไฉนเขาจะต้องทำลายชีวิตของนางด้วยเล่า?
…
ขณะที่อวิ๋นลิ่วกำลังเกลี้ยกล่อมโม่อวิ๋นจิ่งอยู่นั้น อันเสวี่ยถังที่อยู่ในครัวก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก จากนั้นตะหลิวก็ร่วงหลุดมือ
สวรรค์!
ดรรชนีทองคำ นางได้พลังอันใดมากัน?
นางได้ยินสิ่งที่สามีของตนกับอวิ๋นลิ่วพูดคุยกันชัดเจนถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน?
ตอนที่นางทอดผักจี้ไช่เสร็จ นางก็ตั้งคำถามกับตนเองว่า ไม่รู้ว่าสามีของตนกับอวิ๋นลิ่วพูดคุยเรื่องอันใดกันอยู่นะ
ทันใดนั้นก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นมา จู่ๆ นางก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างสามีของตนกับอวิ๋นลิ่ว
______________________________
1 ‘หนึ่งชั่วยาม’ ของจีนจะเท่ากับ ‘สองชั่วโมง’ ในปัจจุบัน การนับเวลาแบบนี้เริ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก โดยใน “สิบสองชั่วยาม” จะแบ่งออกเป็นดังนี้
ยามจื่อ (子时) หรือ เย่ป้าน (夜半) , จื่อเย่ (子夜) , จงเย่ (中夜) หมายถึง กลางดึก ถือเป็นช่วงเวลาแรกในการนับเวลา โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 23:00-01:00
ยามโฉ่ว (丑时) หรือ จีหมิง (鸡鸣) , หวงจี (荒鸡) หมายถึง ช่วงไก่ขัน เป็นช่วงเวลาที่สองของการนับเวลา โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 01:00-03:00
ยามหยิน (寅时) หรือ ผิงต้าน (平旦) , หลีหมิง (黎明) , เจ่าเฉิน (早晨) , รื่อต้าน (日旦) เป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์จะขึ้นมาแทนที่ความมืดมิด โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 03:00-05:00
ยามเหม่า (卯时) หรือ รื่อชู (日出) , รื่อฉื่อ (日始) , โพ่เซียว (破晓) , ซู่รื่อ (旭日) คือช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มทอแสง โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 05:00-07:00
ยามเฉิน (辰时) หรือ ชื่อฉือ (食时) , เจ่าฉือ (早食) เป็นช่วงเวลาทานอาหารเช้า โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 07:00-09:00
ยามซื่อ (巳时) หรือ อวี๋จง (隅中) , รื่ออวี๋ (日禺) ช่วงเวลาใกล้เที่ยงวัน โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 09:00-11:00
ยามอู่ (午时) หรือ รื่อจง (日中) , รื่อเจิ้ง (日正) , จงอู่ (中午) เวลาเที่ยง โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 11:00-13:00
ยามเว่ย (未时) หรือ รื่อเตี๋ย (日昳) , รื่อเตีย (日跌) , รื่อยาง (日央) คือช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 13:00-
ยามเซิน (申时) หรือ ปูฉือ (晡时) , รื่อปู (日晡) , ซีฉือ (夕食) โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 15:00-17:00
ยามโหย่ว (酉时) หรือ รื่อรู่ (日入) , รื่อลั่ว (日落) , รื่อเฉิน (日沉) , ป้างหว่าน (傍晚) เป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มลับเหลี่ยมเขา นกกาเริ่มบินกลับรัง โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 17:00-19:00
ยามซวี (戌时) หรือ หวงฮุน (黄昏) , รื่อซี (日夕) , รื่อมู่ (日暮) , รื่อหว่าน (日晚) ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ลับไปแล้ว รอบด้านดูสลัวเลือนราง ใกล้มืดเต็มทีโดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 19:00-21:00
ยามไฮ่ (亥时) หรือ เหรินติ้ง (人定) , ติ้งฮุน (定昏) เป็นช่วงเวลาดึกสงัด ประชาชนต่างก็หยุดทำกิจกรรมต่างๆ และพักผ่อนนอนหลับ คำว่าเหรินติ้ง (人定) นั้นโดยนัยแล้วก็คือคำว่า เหรินจิ้ง (人静) ที่แปลว่าเงียบสงัด สองคำนี้ออกเสียงคล้ายคลึงกัน สื่อถึงว่าเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบ ผู้คนหยุดพักผ่อนนั่นเอง โดยจะเริ่มนับตั้งแต่เวลา 21:00-23:00
2 ในสมัยโบราณ การสอบเข้ารับราชการของจีนเรียกว่า 科举 อ่านว่า เคอจวี่ แบ่งเป็นทั้งหมด 3 รอบ
รอบที่หนึ่งเรียกว่า 秀才 อ่านว่าซิ่วไฉ เป็นการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น
รอบที่สองเรียกว่า 举人 อ่านว่า จวี่เหริน เป็นการสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค
รอบที่สามเรียกว่า 进士 อ่านว่า จิ้นซื่อ ในรอบนี้จะเป็นการสอบคัดเลือกหน้าพระพักตร์ จักรพรรดิจะเป็นผู้ทดสอบด้วยตัวเอง
3 ผักจี้ไช่ หรือ จี่ไฉ่ (ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Capsella Bursa-pastoris .. (หลินซื่อn) Medic) เป็นหญ้าสมุนไพรอายุราว 1-2 ปี ความสูง 10-50 ซม. เป็นพืชทนหนาว ชอบอากาศเย็นและชื้น ลำต้นและใบใช้เป็นผัก เมล็ดมีน้ำมันใช้ทำสีและสบู่